ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

จะขายชื่อ

๒๓ ก.ค. ๒๕๕๙

จะขายชื่อ

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๙

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : เรื่อง “เอาชื่อครูบาอาจารย์มาตั้งเป็นชื่อสำนัก

หลวงพ่อรู้จักพระองค์หนึ่งไหมครับ ฉายาว่า... หรืออะไรนี่แหละ ท่านได้ตั้งวัดที่ศาลายา ชื่อวัด... ท่านได้รับอนุญาตให้ใช้ญาณสัมปันโนหรือเปล่าครับเพราะเมื่อก่อนตอนหลวงตาทรงธาตุขันธ์อยู่ไม่มีคำว่า “ญาณสัมปันโน” ครับเพราะผมเคยไปเมื่อหลายปีก่อน แต่มีเหตุต้องเลิกไป เพราะหลานที่บวชเป็นเณรในตอนนั้นไปเห็นอะไรบางอย่างตอนกลางคืน เลยไม่ไป แล้วหลานก็สึกออกมาเลยครับ

คำว่า “ญาณสัมปันโน” มาได้ไง ผมยังงงอยู่ จึงมาขอความคิดเห็นของหลวงพ่อช่วยอธิบายหน่อยครับ ผมมั่นใจว่าพระองค์นี้ไม่ใช่พระที่หลวงตาจะให้เครดิตที่จะให้ใช้ชื่อของท่าน ขอความอนุเคราะห์หลวงพ่อช่วยชี้แจงด้วยครับ กราบนมัสการด้วยครับ

ตอบ : ขอความอนุเคราะห์หรือขอความเห็น สิ่งนี้โดยสังคมโลก สังคมโลกที่เขาเป็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้เขาเป็นกันอยู่อย่างนี้ ถ้าเขาเป็นอยู่อย่างนี้ ถ้าเป็นอยู่อย่างนี้ อย่างทางโลก ทางโลกของเขา ทางโลกมันโลกธรรม  มีลาภเสื่อมลาภมียศเสื่อมยศ แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “โมฆบุรุษตายเพราะลาภ

ถ้าทำเพื่อลาภเพื่อสักการะ นี่จะขายชื่อไง จะขายชื่อครูบาอาจารย์ไง ถ้าคำว่า “จะขายชื่อครูบาอาจารย์” มันต้องการ ต้องการผลตอบแทน ต้องการความเชื่อถือ ต้องการให้คนยอมรับนับถือไง แต่ความจริงนะ ความจริงการตั้งชื่อ การตั้งชื่อของครูบาอาจารย์มันไม่ผิดหรอก มันผิดตรงไหน

เวลาชื่อขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วัดพุทธธรรม ของเราก็มี ของเราก็มีวัดพุทธธรรม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ วัด วัดสติปัฏฐาน  วัดมรรค ในธรรม ถ้าเรามีความกตัญญูกตเวที ถ้าเราเพื่อความเชิดชู ถ้าเราเชิดชู มันจะเสียหายตรงไหน ถ้าเราตั้งชื่อวัด ตั้งชื่อของครูบาอาจารย์ของเรา ตั้งชื่อเพื่อความเชิดชู เพื่อความส่งเสริมนะ สิ่งนี้มันเป็นคุณทั้งนั้นน่ะ

ดูสิ เวลาหลวงตา เวลาท่านตั้งชื่อของท่าน วัดป่าเกษรศีลคุณ เวลาท่านฝึกฝนๆ มา ฝึกฝนจนได้หลวงปู่ลีมาไง หลวงปู่ลีท่านไปสร้างที่ผาแดง เห็นไหม วัดป่าเกษรศีลคุณธรรมเจดีย์ ท่านว่าเป็นธรรมนะ วัดนี่มันเป็นคุณธรรม มันเป็นธรรมธรรมเจดีย์ เจดีย์ที่อยู่ในหัวใจของพวกเราน่ะ ถ้าเป็นเจดีย์ที่อยู่ในหัวใจของพวกเรา มันเป็นการเชิดชูหรือมันเป็นการทำลาย

การตั้งชื่อ ถ้าการตั้งชื่อด้วยการกตัญญูกตเวที การตั้งชื่อด้วยความเชิดชู เราเชิดชูท่านน่ะ เราเชิดชู เราส่งเสริม มันไม่ผิดหรอก ถ้าเป็นความเชิดชู แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นความเชิดชู เราตั้งทำไม ชื่ออะไรก็ได้ ดูสิ วัดป่าเกษรศีลคุณ หลวงตาท่านตั้งไว้ จดทะเบียนไว้ วัดป่าเกษรศีลคุณ มีใครรู้จักบ้าง มีรู้จักแต่วัดป่าบ้านตาดทุกคนรู้จักวัดป่าบ้านตาด แต่ไม่รู้จักวัดป่าเกษรศีลคุณ

นี่ไง เวลาตั้งชื่อ ชื่อมันเป็นชื่อ แต่มันเป็นคุณงามความดีของท่าน คุณงามความดีของหลวงตาท่าน ท่านทำคุณงามความดีของท่าน มีคนเชื่อถือศรัทธาท่านวัดป่าบ้านตาด วัดป่าบ้านตาดมันเป็นภาษาพื้นฐาน เป็นภาษาบ้าน มันกลับชื่นชมกลับเป็นกลิ่น กลิ่นมันหอมทวนลม กลิ่นมันขจรขจายไปทั่ว ความขจรขจายไป มันขจรขจายไปด้วยคุณงามความดีของท่าน ถ้าขจรขจายเป็นคุณงามความดีของท่าน ดูสิ ท่านมาสร้างวัดที่สามโคก เห็นไหม วัดป่าภูริทัตตฯ หลวงตาเป็นคนสร้าง หลวงตาเป็นคนตั้งชื่อ ท่านตั้งชื่อของใครน่ะ ท่านตั้งชื่อของหลวงปู่มั่น วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม นี่ไง เวลาท่านตั้งชื่อ ท่านตั้งชื่อเพราะท่านจะเชิดชูของท่านไง เพราะท่านเคารพบูชาของท่าน

พอท่านเคารพบูชาของท่าน เวลาหลวงตาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น เวลาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านถามว่า ท่านทำคุณประโยชน์กับสังคมไว้เยอะ หมู่คณะได้คิดถึงท่านหรือไม่ หลวงตาท่านยกมือเลย “ผมคิดอยู่เต็มหัวใจเลย ถ้าต่อไปผมจะเขียน ผมจะเขียนประวัติของครูบาอาจารย์ เขียนถึงผลงานของหลวงปู่มั่น

เออคิดอย่างนี้ถูกแล้วแหละ

แต่หลวงตาท่านบอกว่า แต่ตอนนี้งานของท่านยังไม่จบ ถ้างานของท่านจบคือว่าถ้าท่านภาวนาถึงที่สุดแล้ว ท่านจะเขียนประวัติของหลวงปู่มั่น

หลวงปู่มั่นบอก ใช่ ต้องเอาหัวใจของตนให้พ้นจากกิเลสก่อน เอาหัวใจของตนคือเอาผลประโยชน์ของตน เอาสัจธรรมของตนก่อน อย่างนี้ถูกต้อง แล้วต่อไปถ้าจะทำ เห็นไหม

เวลาการพูดกันอย่างนี้ หลวงปู่มั่นนี่นะ ใครพูดกับท่าน ใครสนทนากับท่านแล้วถ้าเป็นการทุจริต เป็นเรื่องกิเลส พูดกับท่านไม่ได้หรอก แล้วนี่เวลาพูดกับท่านเวลาพูดกับท่าน ท่านบอกว่า ตอนนี้งานของตนยังไม่เสร็จ ถ้างานของตนเสร็จแล้วถ้าเสร็จแล้วจะจดจารึก คำพูดอย่างนี้ถ้าไปพูดกับหลวงปู่มั่น แล้วหลวงปู่มั่นท่านเป็นคนแก้หลวงตามาตลอด หลวงตาท่านติดขัดอย่างไร เวลาเริ่มต้นตั้งแต่จิตเสื่อม เข้าไปหาท่านน่ะจิตเสื่อม ท่านก็สอน

หลวงตาท่านพูดเอง สอนเหมือนเด็กๆ เวลาจากจิตเสื่อม จากจิตเสื่อมขึ้นมาจับเวทนาได้ พิจารณาเวทนา จนเวทนา เราไม่ใช่เวทนา พิจารณาต่อเนื่องไป จนพิจารณาธาตุจนมันราบหมด กายเป็นโพธิ จิตเป็นกระจกใสไปแล้ว แล้วติดอยู่ ปี ท่านเป็นคนแก้มา แก้มาจนให้มันเห็นอสุภะ ท่านเป็นคนแก้มา ท่านรู้ไง ตอนนี้งานของท่านยังไม่เสร็จ คำพูดนี่มันชัดเจนมาก ชัดเจนเพราะว่าคำพูดระหว่างนักปราชญ์กับนักปราชญ์เขาคุยกัน นักปราชญ์กับนักปราชญ์เขาเจรจากัน พอเขาเจรจากัน เจรจาต่อหน้าหมู่สงฆ์ หมู่สงฆ์ได้ยินได้ฟังกันทั้งนั้นน่ะ

ฉะนั้น เวลาหลวงตา เวลาท่านมาเขียนประวัติหลวงปู่มั่นน่ะ “ถ้ามีสิ่งใดถ้าเป็นความขาดตกบกพร่อง ข้าพเจ้ามีปัญญาน้อย ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบ สิ่งใดที่เป็นคุณประโยชน์ สิ่งใดที่เป็นการเชิดชูนั้น ข้าพเจ้าขอเชิดชูครูบาอาจารย์ของข้าพเจ้า เชิดชูของหลวงปู่มั่น แต่ถ้าสิ่งใดถ้าเป็นการขาดตกบกพร่อง สิ่งใดที่เป็นความเสียหาย ข้าพเจ้าขอรับไว้เองครับ ข้าพเจ้าขอรับไว้เอง เพราะมันเป็นความผิดพลาดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีปัญญาน้อย ข้าพเจ้าทำแล้วมันผิดพลาด มันทำให้ชื่อเสียงของครูบาอาจารย์เรามัวหมอง ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบ ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบ” ไปอ่านประวัติหลวงปู่มั่นสิ

แต่ไอ้พวกที่ขายชื่อครูบาอาจารย์นะ เขียนประวัติหลวงปู่มั่น “หลวงปู่มั่นชมว่าเราเก่งอย่างนั้น หลวงปู่มั่นชมเราว่าอย่างนั้น” มันแตกต่างกันนะ อันหนึ่งเขาเชิดชูครูบาอาจารย์ ทำเพื่อเชิดชูครูบาอาจารย์นี่เป็นเรื่องหนึ่งนะ

ทำเพื่อจะขายชื่อครูบาอาจารย์ ขายชื่อท่านน่ะ ขายชื่อท่านเพราะอะไร เพราะตัวเองไม่มีวุฒิ ตัวเองไม่มีความสามารถ เอาชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณท่านมาแปะไว้หน้าผากตัวเอง แล้วก็เหยียบย่ำครูบาอาจารย์ไปด้วยพฤติกรรมน่ะพฤติกรรมการกระทำ พฤติกรรมการสั่งสอนน่ะ

เพราะอะไร เพราะหลวงตาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านฝึกฝนมาเองท่านเป็นคนฝึกฝน ท่านเป็นคนแก้ไขมาเอง แต่ไอ้พวกนอกรีต ไอ้พวกที่ภาวนาไม่เป็น เวลาเขียนประวัติครูบาอาจารย์ จะเขียนประวัติครูบาอาจารย์ลงเหวลงทะเลขายขี้หน้า

แล้วสมัยที่ว่า หลวงปู่เจี๊ยะเป็นคนเล่าให้ฟังเอง ตอนจะเผาศพหลวงปู่มั่นน่ะท่านพูดเอง มีพระพวกนี้ไปพิมพ์ประวัติท่าน แล้วจะไปแจก หลวงปู่เจี๊ยะบอกสมเด็จมหาวีรวงศ์บอกแจกไม่ได้หรอกครับ ถ้าแจกไป คนเขาจะหาว่าหลวงปู่มั่นติดแค่สมาธิ

ไอ้พุทโธๆ ไอ้สมถะน่าเกลียดน่ากลัว มันก็ได้แค่สมาธิ สมาธิเป็นสมถะ ไม่มีประโยชน์อะไร” ถ้าแจกไปจะเป็นอย่างนั้น เพราะเขาทำได้แค่นี้ไง

ไปบอกสมเด็จมหาวีรวงศ์ สมเด็จมหาวีรวงศ์เห็นด้วย ห้าม ระงับการแจกอันนั้นไว้ ไม่ให้แจก แล้วพองานศพนั้น หนังสือนี้พิมพ์แล้วไม่ให้แจก แต่แอบแจกกันแล้วตอนนี้ก็มาว่าได้แจกในงานศพหลวงปู่มั่น แล้วเวลาตอนนี้ “ทำสมาธิเป็นพลังจิตๆ

พลังจิตอะไร หลวงปู่มั่นสอนพลังจิตหรือ หลวงปู่มั่นสอนอะไร หลวงปู่มั่นสอนเรื่องอริยสัจ

นี่ไง เวลาจะขายชื่อขายเสียง คนจะขาย คำว่า “จะขาย” คือตัวเราไม่มีอะไรไง เราไม่มีวุฒิภาวะ ไม่มีสมบัติอะไร เราถึงขาย แต่คนที่เขามีนะ เขาเคารพ เขาไม่ขาย เขากราบเขาไหว้ เขาเชิดชู นี้ครูบาอาจารย์เรา ท่านยกไว้เหนือศีรษะเหนือหัว นี่ท่านเชิดชูนะ

ตั้งชื่อมันไม่เสียหายหรอก ถ้าตั้งชื่อด้วยความเชิดชู ด้วยความกตัญญู ด้วยคุณงามความดี แต่ถ้าเอามาซื้อเอามาขายกันน่ะ ไร้สาระ นี่มันซื้อมันขายกัน มันไร้สาระไง

ฉะนั้น เวลาชื่อ ของเราก็มีนะ ดูสิ ตอนนี้เราพยายาม อยู่กับครูบาอาจารย์เราพยายามเก็บเล็กผสมน้อย ดูการกระทำของท่านน่ะ วัดป่าภูริทัตตฯ ก็วัดป่าภูริทัตตฯ ก็หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต แล้วเวลาของเรา เราไปสร้างที่อุทัยฯ ที่ลานสัก วัดป่าหลวงปู่มั่น ภูริทัตตฯ เลย แล้วที่ห้วยคต วัดป่ามหาบัว ญาณสัมปันโน แล้วเมื่อสองวันนี้เขาทำฝายแล้วมันมีปัญหากันอยู่ ผู้ว่าเขาให้พวกนี้ขึ้นไปพูดเลยว่า วัดป่ามหาบัวของเรากับวัดป่ามหาบัวทั่วๆ ไปมันเกี่ยวพันกันอย่างไร

โยมของเราขึ้นไปพูดเลย ถ้าวัดป่ามหาบัวของเรานี้ทำตามหลวงตา หลวงตาท่านบอก พระเกิดจากป่า พระป่าอยู่กับป่า ป่าต้องรักษาต้นน้ำลำธาร เราไปรักษาต้นน้ำลำธาร เราไปรักษาป่า วัดป่าของเรามันมีแต่ต้นไม้ มันเป็นวัดป่าเรื่องธรรมชาติ ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง ไม่มีหรอก ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่นะ

แต่ตอนนี้ก็เริ่มเสียวๆ แล้วนะ เพราะมีพระลูกศิษย์หลายองค์ตอนนี้เป็นอาจารย์เราแล้วนะ เก่งกว่าเราทุกคนเลย ตอนนี้มีหลายองค์รู้สึกว่าภาวนาดีอาจารย์สงบนี่ยังรู้ไม่เท่าทันเราเลย” เออตอนนี้ชักมีแล้วนะ แค่  วัดเอง ยังเจออย่างนี้เลย เราทำของเรา ทำเพื่อประโยชน์นะ

นี่พูดถึงว่าเวลาตั้งชื่อญาณสัมปันโน มีทั่วไปหมด ของเรา ดูสิ หมู่คณะใครก็เคารพใครก็บูชา ใครเคารพบูชาก็ตั้งวัดป่า วัดป่าอย่างน้อยก็มีญาณสัมปันโนญาณสัมปันโน ญาณหยั่งรู้ของครูบาอาจารย์เราไง สาธุนะ ถ้าไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อขาย ไม่ขายชื่อครูบาอาจารย์ ขายชื่อขายเสียง แต่ถ้าเป็นการตั้งด้วยการเชิดชูทำไมจะตั้งไม่ได้ เรามาเชิดชูครูบาอาจารย์ เราทำดีนะ ใครจะมีความสามารถมากน้อยแค่ไหน เราก็พยายามทำความดีของเรานะ

แล้วเราเป็นลูกศิษย์ลูกหา เราก็เอาชื่อครูบาอาจารย์เรามาแขวนไว้ให้เป็นที่เคารพเป็นที่บูชา คอยเตือนสติเรา มันจะเสียหายตรงไหน มันไม่เสียหายหรอกขอให้ทำดี แต่อย่าขาย อย่าขาย ขอร้อง อย่าขาย ขายไปขายอย่างอื่น อย่าขายชื่อเสียงของท่าน อย่าขายกิตติศัพท์กิตติคุณของท่าน ไม่ต้องเอาชื่อเสียงของท่านมาขาย

อย่างของเรา เราทำกันเราไม่ขาย เพราะว่าขนาดใครจะมาร่วมทำบุญ เรายังบอกไม่ ไอ้หงบมันเสือก มันหาเรื่อง ให้มันหาเงินเอง ไอ้หงบต้องหาเงินเอง เราจะทำอะไรเราพยายามทำด้วยลำแข้งของเราทั้งนั้นน่ะ

นี่ไง ก็ตรงนี้ไง ก็ไม่ขายชื่อครูบาอาจารย์ไง ไม่ใช่ชื่อครูบาอาจารย์แล้วใครๆก็ต้องมาร่วมด้วย ใครๆ ก็ต้องมาติดร่างแหไปหมดเลย ถ้าใครอยากจะมีส่วนกับครูบาอาจารย์ ต้องมาต่อท้ายฉันนะ ทุกคนต้องมาต่อแถว...ก็มันจะขายกันไง จะขายแล้วก็จะเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นองค์สุดท้ายเสียด้วยนะ ใครจะเป็นไม่ได้แล้วฉันเป็นองค์สุดท้าย ถ้าใครอยากจะร่วมด้วยต้องมาต่อท้ายฉัน...จะขายแล้วยังจะครอบงำต่างหาก

นี่พูดถึงว่า ชื่อวัดญาณสัมปันโน เขาตั้งได้หรือไม่

ถ้าตั้งเพื่อกตัญญู เพื่อเชิดชูบูชานะ ตั้งได้ แม้เราจะมีสติสัมปชัญญะน้อย เราจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ถ้าเราตั้งด้วยความบริสุทธิ์ใจ เราทำได้ อาจารย์ของเราครูบาอาจารย์ของเราทั้งองค์ เราไปอยู่กับท่านนะ พ่อแม่ครูจารย์ ได้อยู่ได้กิน ได้สั่งได้สอน ท่านก็อบรมสั่งสอนเรามา แต่การอบรมสั่งสอนนั้นมันควรจะได้คุณธรรมบ้าง ได้มีความกตัญญูกตเวทีบ้าง ควรจะกตัญญูท่านบ้าง ควรจะกตัญญูชื่อเสียงของท่าน ควรจะกตัญญูความเป็นไปของท่าน เห็นน้ำใจของท่านบ้าง ท่านพยายามสร้าง ท่านพยายามทำคุณงามความดี ท่านพยายามพลิกแพลงให้มันเป็นคุณงามความดีมา

เราเอาชื่อเสียงของท่านมาตั้ง เราต้องระลึกถึง ต้องระลึกถึงคุณงามความดีของท่าน แล้วระลึกแล้วคอยเตือนตน เตือนตัวเรา เตือนคนที่เอาไปตั้ง เตือนคนที่เอาชื่อเสียงของท่านไปตั้ง ไปต่างๆ เตือนตัวเอง พอเตือนตัวเองแล้วพยายามทำคุณงามความดีของเรา ชื่อเสียงของท่านคุ้มกะลาหัวเราไง อยู่กับท่านมา ท่านเลี้ยงดูเรามา

เวลาภาวนา ผู้ที่ไม่เคยอยู่กับท่านได้ฟังเทปของท่าน ฟังเทปฟังวิทยุของท่านแล้วได้คติจากท่านน่ะ ได้คติ ได้แนวคิด ได้สิ่งต่างๆ จากท่านที่ท่านสั่งสอนเราน่ะไม่มีบุญคุณเลยหรือ ของอย่างนี้ไม่มีคุณเลยใช่ไหม ถ้ามันมีคุณบ้าง เอ็งก็มีน้ำใจต่อท่านบ้างสิ มีน้ำใจ มีความกตัญญูต่อท่านบ้าง

นี่พูดถึงเวลาเอาชื่อไปตั้ง ที่ว่ามันเสียหายไหม

ถ้าไม่ขายชื่อขายเสียงท่าน ไม่เสียหายหรอก แต่ถ้ามันจะไปขาย ถ้ามันจะเอาหาแต่ลาภ โมฆบุรุษ มันเป็นพระโมฆะ มันเป็นคนโมฆะ มันไม่รู้จักความดีไงถ้าความดีอย่างนั้นก็เป็นความดีอย่างนั้น

นี่พูดถึงเวลาคำว่า “ญาณสัมปันโนตั้งได้หรือไม่

ภาษาเรานะ เราบอกว่ามันไม่มีใครเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ แต่จริงๆ แล้วมันก็มีผลทางกฎหมาย ถ้าทางกฎหมายเขาต้องว่ากันไปตามกฎหมาย คำว่า “กฎหมาย” มันก็พลิกแพลงไปตามนั้นน่ะ

แต่นี่เราพูดกันเป็นธรรมไง เราพูดด้วยเราเป็นธรรม เราเป็นธรรม เราเป็นมนุษย์ เราเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ถ้าเป็นฆราวาส เราก็มีครูบาอาจารย์เป็นที่เหนี่ยวรั้งใจ ถ้าเรามีศรัทธาความเชื่อมาบวชเป็นพระ เป็นพระแล้วเป็นลูกศิษย์ลูกหาของท่าน ถ้าลูกศิษย์ลูกหาของท่านควรจะเชิดชูบูชาคุณงามความดี

ท่านใช้ชีวิตของท่านทั้งชีวิตนะ เช่น ชีวิตหลวงปู่มั่น ชีวิตเป็นแบบอย่างนะท่านบรรลุธรรมในป่า ท่านอยู่ในป่า ท่านใช้ชีวิตของท่านเป็นการสั่งสอน เวลาบิณฑบาตไม่ไหว ไปถึงหน้าประตู บิณฑบาตสุดท้ายก็บิณฑบาตบนศาลา เห็นไหม

เราดูทีวีหลวงตาประจำ เช้าๆ อายุ ๙๐ กว่ายังลงมาฉันทุกวันน่ะ เจ็บไข้ได้ป่วยอย่างใดท่านก็ลงมาฉันอาสนะเดียว คำว่า “อาสนะเดียว” ฉันมื้อเดียว อาสนะเดียว บิณฑบาตไม่ไหวก็รอหมู่คณะบิณฑบาต ท่านทำนี่ไม่เห็นหรือ ตอนท่านมีชีวิต

เราดูแล้วเราเศร้าใจมากนะ คือท่านทำให้เป็นตัวอย่างน่ะ ท่านทำให้เป็นตัวอย่างว่าท่านไม่เอาความสะดวกสบายของท่าน เจ็บไข้ได้ป่วย ใครขอร้องว่าให้ฉันที่กุฏิเลย ท่านก็ไม่ยอม ท่านลงมาฉันทุกวัน จนท่านฉันไม่ได้แล้วท่านถึงได้หยุด นี่คือคติ นี่คือคติแบบอย่างที่ท่านทำไว้ให้ดูโดยไม่ได้บอก ที่ท่านทำไว้โดยที่ไม่ต้องเทศน์ ไม่ได้บอก แต่ท่านทำ มีแต่พวกเรามีสติปัญญาเท่าทันหรือไม่ มีสติปัญญาระลึกได้หรือไม่ มีสติปัญญาดูแล้วได้สะเทือนใจหรือไม่ นี่พูดถึงว่าคนที่มีหัวใจที่คิดนะ

พูดเรื่องนี้เดี๋ยวไปใหญ่ พูดเรื่องครูบาอาจารย์ มันอยู่ในใจ แล้วใครเอาไปขายกันนี่ เงินทองนะ เขาทำงานกันเขายังมีเงินเดือนออก ไอ้นี่ชื่อเสียงของครูบาอาจารย์แลกเป็นเงินเป็นทองนี่น่าเกลียดมาก น่าเกลียดมาก

แต่ถ้าเราเชิดชู เราเคารพบูชาของเราใช่ไหม ตั้งชื่อไว้ให้เป็นมงกุฎในวัดของเรา ให้เป็นที่ให้เรามั่นคง อย่างนี้เราเห็นด้วยนะ เพราะอย่างที่ว่านี่ เราจะมีความรู้มากความรู้น้อย แต่ขอให้เคารพบูชาจากหัวใจ อันนี้เห็นด้วย

ทีนี้ข้อต่อไป “เพราะหลานที่บวชเณรในตอนนั้นไปเห็นอะไรบางอย่างในตอนกลางคืน ก็เลยไม่ไป หลานก็เลยสึกออกมาเลย คำว่า “ญาณสัมปันโน” มาได้อย่างไร ผมยังงงอยู่ จึงขอความคิดเห็นของหลวงพ่อช่วยอธิบายหน่อยครับ ผมมั่นใจว่าพระองค์นี้ไม่ใช่พระที่หลวงตาท่านจะให้เครดิตที่ใช้ชื่อของท่าน ขอความอนุเคราะห์จากหลวงพ่อช่วยชี้แนะด้วยครับ กราบนมัสการด้วย

สิ่งที่ว่าเวลาขายชื่อขายเสียงนั่นเป็นเรื่องหนึ่งนะ สิ่งที่ว่าท่านสั่งสอนมา สิ่งที่ท่านสั่งสอนมา สิ่งที่การกระทำ เวลาหลวงปู่มั่นท่านนิพพานไปแล้ว หลวงตาท่านพูดเอง แตกกระสานซ่านเซ็นกันไปหมดเลย  ปีกว่าจะรวมกันติด กว่าจะรวมกันได้ กว่าจะตั้งหลักกันได้ พอตั้งหลักกันได้ ต่างคนต่างก็พยายามขวนขวายของตนเพราะว่าหลวงปู่มั่นท่านนิพพานไปแล้ว เผาศพของหลวงปู่มั่นแล้ว หลวงตาท่านถึงบรรลุธรรมถึงที่สุด แล้วท่านก็พยายามให้หมู่คณะเกาะกันมาๆ นี่เกาะกันมา

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่า มีเณรเข้าไปอยู่ด้วย ไปรู้ไปเห็นอะไรอย่างนี้

นี่พฤติกรรม พฤติกรรมอย่างนั้น เวลาอ้างชื่ออ้างเสียง อ้างกิตติศัพท์กิตติคุณของท่าน เวลาของเราล่ะ เรามีคุณงามความดีอะไรล่ะ สิ่งที่เราอ้างนั้นน่ะอ้างมาเพื่ออะไรล่ะ อ้างมาเพื่อไม่ให้กิเลสเรามันฟูไง จะทำสิ่งใดก็ชื่ออันนั้นมันครอบอยู่ไง ถ้าเราจะเสียเราจะหาย ชื่อเสียงของท่านมันเป็นการให้เราไม่กล้าก้าวล่วงไง

ถ้ามันก้าวล่วงไป ชื่อเสียง พฤติกรรมของเรา การกระทำของเรา มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ ถ้าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คุณงามความดีของเรา คุณงามความดีของเราไงถ้าคุณงามความดีของเรา เกิดจากการจำมา คำสั่งสอนมา

คำสั่งสอน เราอยู่กับท่านใช่ไหม อยู่กับท่าน ข้อวัตรปฏิบัติ จริตนิสัย สิ่งใดที่ท่านสั่งสอนมา ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพูดให้ฟัง เวลาที่หลวงตาท่านอยู่ที่วัด หลวงปู่เจี๊ยะท่านไปอยู่ด้วย เสร็จแล้วหลวงปู่เจี๊ยะท่านก็จะไปซ่อม ไปปรับพื้นที่ไง ท่านก็ไปขุด ไปขุดดิน ไปตีไม้ เสียงมันดังน่ะ

หลวงตาท่านไปดูนะ ท่านไปดูว่า เอ๊ะเสียงใคร เพราะในวัดธรรมดาถึงเวลาแล้วมันจะไม่มีเสียงดังไง พอเสียงดัง พอไปดู ไปเห็นหลวงปู่เจี๊ยะท่านกำลังปรับพื้นที่ กำลังจะไปซ่อมกุฏิ ทีนี้เสียงมันไปกระทบคนอื่นนะ

หลวงตาท่านพูดนะ “ท่านเจี๊ยะ ท่านเจี๊ยะก็เคยอยู่กับหลวงปู่มั่นมา ถ้าไม่อยู่กับหลวงปู่มั่นมานะ ผมจะไม่พูดอะไรเลย” แล้วหลวงตาท่านก็เดินกลับ หลวงปู่เจี๊ยะท่านสะอึกเลย

นี่ไง เราได้อยู่กับครูบาอาจารย์มาด้วยกันน่ะ เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์มาด้วยกัน อยู่กับหลวงปู่มั่น เห็นไหม อยู่กับหลวงปู่มั่น ถึงเวลาแล้วนะ เวลาทำสิ่งใดให้ทำเวลาข้อวัตร เวลาพ้นจากข้อวัตรแล้วจะไม่มีเสียงรบกวนกัน นี่ท่านทำเป็นแบบเป็นอย่างมา ถ้าท่านทำเป็นแบบอย่างมา ถ้าไปอยู่กับท่านมามันก็ได้ซับซึมอย่างนั้นมา แล้วหลวงปู่เจี๊ยะเป็นผู้อุปัฏฐากหลวงปู่มั่นเสียด้วย

แล้วหลวงปู่เจี๊ยะท่านเล่าให้เราฟังนะ เวลาอยู่กับท่าน ท่านบอกว่า เรื่องผ้าเรื่องผ่อน เพราะท่านเป็นคนพับผ้าให้หลวงปู่มั่น ผู้อุปัฏฐากคือการเป็นคนซัก คนย้อม คนเก็บผ้า แล้วหลวงปู่มั่นท่านละเอียด ดูสิ ประวัติหลวงปู่มั่น การกระทำหลวงปู่มั่นขนาดไหน แล้วหลวงปู่เจี๊ยะเป็นคนอุปัฏฐาก เป็นคนดูแลอยู่น่ะ ถ้ามันไม่ละเอียดมันจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร แล้วหลวงปู่เจี๊ยะก็เล่าให้เราฟัง ย้อมผ้าเวลามันผิดพลาดขึ้นไป “เจี๊ยะเอ้ยเจี๊ยะเอ้ย!” ท่านโดนทั้งวันน่ะ

นี่กรณีนี้มันฝึกหัดด้วยกันมา แต่เวลาท่านไปเยี่ยมหลวงตา ไปจำพรรษาอยู่กับหลวงตา ท่านไปทำเสียงดังเข้า หลวงตาท่านไปพูดอย่างนั้นน่ะ หลวงปู่เจี๊ยะท่านบอกเลย คืนนั้นทั้งคืนนะ ท่านนอนไม่หลับเลย เช้าขึ้นมาก็ไปยืนรออยู่นั่นไงเวลาหลวงตาท่านมาถึง ท่านกราบ แล้วดึงเท้าหลวงตามาลูบหัวเลย “ทำไมท่านอาจารย์พูดได้ขนาดนี้ ทำไมพูดได้เหมือนหลวงปู่มั่น เหมือนหลวงปู่มั่น พูดได้แทงใจขนาดนี้

เจี๊ยะเอ้ยเราก็อยู่กับหลวงปู่มั่นมาด้วยกัน ถ้าไม่อยู่กับหลวงปู่มั่น ผมจะไม่พูดเลย ถ้าไปอยู่กับหลวงปู่มั่นคือได้ฝึกมาแล้วไง ได้ฝึกได้หลอมจากเบ้าเดียวกันมาไง ผิดก็รู้ว่าผิดไง ถูกก็รู้ว่าถูกไง แล้วท่านมาทำผิดอย่างนี้ได้อย่างไร

แหมทำไมท่านอาจารย์พูดได้ขนาดนี้เนาะ ทำไมอาจารย์พูดได้แทงใจผมเหลือเกินเนาะ” ก้มเข้าไปนะ เอาเท้าลูบหัว นี่ถ้าอยู่กับครูบาอาจารย์มามันซาบซึ้งขนาดนี้ แล้วหลวงปู่เจี๊ยะท่านก็พูดเลย ท่านยอมรับก็ยอมรับหลวงปู่มั่น องค์ที่สองก็หลวงตา

นี่เวลาถ้าได้ฝึกฝนมามันฝึกฝนมาอย่างนี้ “เราอยู่กับหลวงปู่มั่นมาด้วยกัน” หลวงปู่มั่นสอนอย่างไรมา คำว่า “คำสอน” วัตรปฏิบัติของหลวงปู่มั่น เราก็ได้เห็นมาด้วยกัน ถ้าเห็นมาด้วยกัน เราแยกออกมาแล้วเราจะมาอยู่ส่วนตัว เราจะทำอย่างนั้นหรือไม่ เราจะรักษาไว้ได้หรือไม่ ถ้าเรารักษาไว้ได้ เห็นไหม หลวงปู่เจี๊ยะน้ำตาไหล น้ำตาไหลเลย เพราะว่ามันก็หลอมมาจากเบ้าเดียวกัน เบ้าอันนั้นก็หลอมหลวงตามา หลอมท่านมาด้วย หลอมลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมาด้วยกันหมด

แล้วเวลาหลวงตาท่านพูดนะ เวลาคนอื่น หลวงตาท่านจะบอกว่า “ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนะ ก็เหลือเรากับหลวงปู่เจี๊ยะ” ท่านพูดเองนะ ท่านว่าเหลือเรา ก็คือตัวหลวงตานะ ตัวหลวงตาท่านบอกว่า เหลือตัวท่านกับหลวงปู่เจี๊ยะสององค์เท่านั้นที่เอาหัวค้ำฟ้าไว้ เอาศีรษะค้ำฟ้าไว้

แล้วทุกองค์ก็บอกว่า “อู๋ยยังมีองค์นั้นๆ อีก

ท่านบอก “เดี๋ยวตบปากเลย” แสดงว่าพวกนั้นอยู่ในเบ้าหลอมเดียวกันมา แต่ไม่เก็บสิ่งใดมาเป็นวัตรปฏิบัติ ไม่เก็บคุณงามความดีสิ่งใดมา

ท่านถึงได้บอกว่า ย้อนกลับไปฟังเทปของหลวงตาเยอะๆ ท่านบอกเลยว่า ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมีหลวงปู่เจี๊ยะกับตัวท่านเอาศีรษะค้ำหมู่กรรมฐานไว้ เอาหัวค้ำไว้เอาหัวค้ำฟ้าไว้

นั่นไง พูดถึงว่า ทั้งๆ ที่ว่าหลวงตาท่านไม่ได้ตั้งชื่อวัดป่าบ้านตาดว่าวัดภูริทัตตฯ ด้วย ท่านไม่ได้ตั้งว่าวัดหลวงปู่มั่นด้วย ท่านตั้งชื่อวัดป่าเกษรศีลคุณ แล้วท่านตั้งชื่อว่าวัดของท่าน ชาวบ้านเขาเรียกว่าวัดป่าบ้านตาด แต่ด้วยการกระทำของท่าน ด้วยคุณงามความดีของท่าน ด้วยสิ่งอำนาจวาสนาบารมีของท่าน ท่านทำจนเวลาใครถามว่า ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น

ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นโดยท่านตั้งชื่อวัดของท่านเป็นวัดป่าบ้านตาดไม่ใช่วัดหลวงปู่มั่น ท่านตั้งชื่อวัดของท่านว่าวัดป่าบ้านตาด แต่ด้วยกิตติศัพท์กิตติคุณของท่าน ด้วยคุณงามความดีของท่าน ด้วยสิ่งที่ข้อวัตรปฏิบัติของท่าน

เวลาท่านเทศน์บนศาลานะ เราอยู่กับท่าน ท่านพูดเลย เวลาใครๆ ก็บอกว่าวัดป่าบ้านตาดเข้มงวดนัก วัดป่าบ้านตาดเคร่งครัดนักๆ แล้วมันเคร่งครัดแล้วมันเด่นไง มันเด่นเหนือหมู่พระไง ท่านบอกว่า “เราไม่เคยกลัวใครเลย เพราะเราไม่ได้ทำเอง เราไม่ได้คิดเอง เราทำตามหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านทำเป็นหัวหน้ามาหลวงปู่มั่นท่านได้ทำมาแล้ว

คือมีพระได้ทำอย่างนี้มาก่อนเรา มีพระได้ทำอย่างนี้มา แล้วท่านทำตามหลวงปู่มั่น ท่านทำตามหลวงปู่มั่น ท่านไม่ได้คิดเอง ท่านเทศน์อยู่ เราก็ฟังอยู่ท่านไม่ได้ทำเอง

นี่ก็เหมือนกัน เรามา เราทำ ถ้าเราปฏิบัติกัน เราไม่ต้องกลัวอะไรเลย เราไม่ได้ทำอะไรเลย เราจำครูบาอาจารย์มา เราจำหลวงตามา เราจำมา เป็นอะไร

ย้อนกลับมา เห็นไหม “เพราะหลานที่บวชเป็นเณรที่วัดนั้นไปเห็นอะไรบางอย่างตอนกลางคืนนั้น เลยไม่ไปเลย แล้วหลานก็สึกออกมาเลยครับ คำว่า “ญาณสัมปันโน” มาได้อย่างไร ผมยังงงอยู่ จึงขอความคิดเห็นของหลวงพ่อช่วยอธิบายหน่อยครับ

นี่ไง ถ้าเราจะตั้งชื่อตั้งเสียงของท่าน ไม่ต้องตั้งอะไรก็ได้ เราทำคุณงามความดี ความดีก็คือความดี ถ้าเราไม่ขายชื่อขายเสียงของคน เราไม่ขายชื่อขายเสียงของครูบาอาจารย์ของเรา เราไม่ขายชื่อขายเสียง เราไม่ต้องขายอะไร เราไม่ต้องเครดิตสิ่งใด ทำคุณงามความดีก็คือความดี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สอนอยู่แล้ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

คนที่ทำคุณงามความดี ทำความดีเพื่ออะไร ทำคุณงามความดีเพื่อหัวใจของเราไง ถ้าครูบาอาจารย์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตา ครูบาอาจารย์เราท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านสำเร็จของท่านไปแล้ว จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรไปกระเทือนคุณธรรมในใจของท่านทั้งนั้นน่ะ

แต่พวกเรานี่แหละ ชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณมันเป็นสมมุติ เราก็เคารพบูชากัน พอเคารพบูชากัน ใครที่เอาไปตั้งชื่อตั้งเสียงแล้ว แล้วประพฤติปฏิบัติธรรมไม่ได้อย่างที่เขาคาดหวัง มันก็ทำให้เสียใจทุกคนน่ะ มันทำให้คนที่เคารพบูชาเขาเสียใจ แต่ถ้ามันเป็นชื่อของเราเอง ถ้าเราทำให้เสียหายมันก็เสียหายตัวเราเองถ้าเราทำคุณงามความดีก็เป็นคุณงามความดีของเรา

แต่ถ้าเรามีชื่อเสียงครูบาอาจารย์มา ถ้าเป็นการเคารพบูชาเชิดชู เราว่าไม่เป็นไรหรอก การเคารพเชิดชูนะ เคารพจริงๆ นะ อย่าขาย อย่าขาย แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว เราอยู่ในศีลในธรรม เราทำคุณงามความดีของเราเห็นไหม ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เราจะมีคุณธรรมในหัวใจเราขึ้นมาไง

เรามาบวช บวชแล้ว ถ้าใครจะไปตั้งวัด ใครจะมีอำนาจวาสนาขึ้นมา จะสร้างวัดขึ้นมา ถ้าจะตั้งชื่อเสียงครูบาอาจารย์ขึ้นมา เขาให้ระลึกก่อนว่าเราจะมาขายท่านหรือไม่ ถ้าเราจะมาขายท่าน เราทำให้ชื่อเสียงท่านเศร้าหมอง เราทำให้ชื่อเสียงท่านตกต่ำไป เราควรกระทำหรือไม่ แต่ถ้าเราเคารพบูชาของเรา เราตั้งเพื่อเชิดชูบูชา เพื่อท่านคอยตรวจ เราเตือนสติเตือนใจเรา เออเราก็ทำได้ แต่อย่าผิดนะ พอทำความผิดความพลาดไปมันสะเทือนกันไปหมดไง

ฟังสิ หลวงตาท่านพูดไง “ในวงกรรมฐานก็มีตัวท่านกับหลวงปู่เจี๊ยะเอาศีรษะค้ำฟ้าไว้

คำว่า “ค้ำฟ้าไว้” ก็กิตติศัพท์กิตติคุณของท่านปกครองควบคุมดูแลพวกเราอยู่ไง เวลาหลวงตาอยู่ ใครมีความทุกข์ความยากอย่างไรก็ไปหาท่าน ใครมีสิ่งใดก็ไปหาท่าน ท่านก็คุ้มครองดูแลไง การคุ้มครองดูแลเพื่ออะไรล่ะ การคุ้มครองดูแลก็ศาสนทายาทไง ก็เพื่อจะมีพระรุ่นใหม่ขึ้นมาไง เพื่อการส่งต่อกันไปไง การส่งต่อสัจธรรมที่เป็นจริงต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ไง นี่การสร้างศาสนทายาทไง การสร้างศาสนทายาทเพื่อให้ต่อเนื่องไป ที่เอาศีรษะค้ำฟ้าไว้ ค้ำฟ้าไว้ก็เพราะเหตุนี้ไง แต่เวลาสร้างแล้วมันจะมีศาสนทายาทขึ้นมาบ้างหรือเปล่าล่ะ

ถ้ามันมีศาสนทายาทขึ้นมา เห็นไหม เราเป็นศาสนทายาท นี่เป็นทายาทโดยธรรม คำว่า “ธรรม” คือธรรมความเสมอภาค คำว่า “ธรรม” คือสัจธรรม ไม่มีใครสูงใครต่ำกว่าใครหรอก บวชมาเป็นพระก็ ๒๒๗ เหมือนกันทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าเวลาทำขึ้นมาแล้วมันมีคุณธรรมในหัวใจขึ้นมา เราเคารพกันที่นั่นน่ะ มันจะมีใครเด่นกว่าใคร ใครสูงกว่าใคร ใครแน่กว่าใครวะ มันก็มีแต่คุณงามความดีของเรานี่แหละ ทำเพื่อเรานี่แหละ ไม่ต้องไปขาย ไม่ต้องไปทำอะไรทั้งสิ้น ถ้าทำได้อย่างนี้เห็นไหม

อย่างที่ว่า ที่เณรไปรู้ไปเห็น คนเขาไปรู้ไปเห็น

มันมีที่ลับที่แจ้ง เราไม่ควรมีที่ลับที่แจ้งไง ถ้าเราไม่มีที่ลับที่แจ้ง เห็นไหม ดูสิเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ไม่มีกำมือในเรา” แบตลอด แบตลอดเลย

เราสร้างกุฏิ โยมเขาถาม “หลวงพ่อ หลวงพ่อไม่ได้กั้นห้องเลยหรือ เปิดโล่ง

ของเราไม่มีห้องเลยนะ โล่งหมดเลย เพราะเราอยู่กับครูบาอาจารย์มาไง ดูหลวงตาเวลาท่านเจ็บป่วยสิ ท่านอยู่ใต้ถุน ตอนรถคว่ำ ตอนท่านเจ็บป่วย ปี๒๕๒๘ นอนอยู่ใต้ถุนน่ะ มีเตียงอยู่อันหนึ่ง พระล้อมรอบเลย เราดูอย่างนั้นมา

เวลาสร้างกุฏิของเรามีห้องเดียว ประตูหน้าต่างรอบ ถึงเวลาเปิดได้หมดเลยเราคิดไปนู่นนะ กุฏิเราไม่มีอะไรเลย มีประตูหน้าต่างล้อมรอบ - ประตู ถึงเวลาแล้วมันจะเปิดได้โล่งหมด แล้วเราจะนอนอยู่ตรงกลาง แล้วพระมันจะดูแลอย่างไรเรื่องหัวของมัน เราคิดไปนู่นเลย มันไม่มีที่ลับที่แจ้งหรอก ไม่มีกำมือในเรา เปิดโล่งหมด แล้วใครมีความสามารถ ใครมีสัจธรรม ใครมีอย่างไร ทำตรงนั้นขึ้นมาถ้าทำตรงนั้นขึ้นมา เห็นไหม

ฉะนั้น มันเป็นโอกาสไง เขาถามมา เพราะเห็นมาทั่ว เราเห็นหมด ยิ่งตอนหลังๆ นี่หมดเลย ญาณสัมปันโนนี่ไปทั่วเลย แล้วไปทั่ว เราก็คิดมุมกลับ อ้าวก็ลูกศิษย์ของท่านเยอะ พระท่านเยอะ แต่ทีนี้พออย่างนี้ปั๊บมันก็อย่างว่า เราอย่าขายชื่อท่านนะ เราตั้งกันไว้เป็นคตินะ ตั้งชื่อท่าน ตั้งไว้เป็นคติ เป็นที่เคารพบูชาของพวกเรา แล้วพอตั้งแล้วมันก็ต้องเป็นเตือนตัวเราตลอดไง ชื่อท่านนะ อย่าทำเสียนะ คนอยู่อย่าทำเสีย ทำแต่เรื่องดีๆ ขึ้นมา เห็นไหม

ตั้งไม่เสียหาย ตั้งไม่เสียหาย แต่อย่าขายนะ ทำแต่เรื่องดีๆ ทำคุณงามความดีกัน แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติ อย่างที่ว่านี่ เวลาท่านพูดกับหลวงปู่เจี๊ยะ “เราก็อยู่กับหลวงปู่มั่นมาด้วยกัน เราก็อยู่กับหลวงปู่มั่น” แล้วองค์อื่นพูดอย่างนี้ได้ไหมองค์อื่นที่อยู่กับหลวงปู่มั่นมาก็ทั้งนั้นน่ะ แล้วมีใครฟังใคร ใครฟังใคร

แล้วเวลาทำขึ้นไป เพราะหลวงตาท่านพูดให้เราฟังนะ ตอนอยู่กับท่าน เรานี่แปลกมาก อยู่กับใครจะได้คุยกันตัวต่อตัว ท่านบอกเลย เมื่อก่อนใครๆ นะ เมื่อก่อนคือว่าตอนที่หลวงปู่มั่นเสียแล้ว แล้วท่านกำลังสร้างวัด แล้วเวลาใครมีปัญหาขึ้นมาท่านก็คอยไปชี้ไปบอก แล้วทีนี้พระทั่วไป พระที่โดนท่านไปบอกกล่าวก็บอกว่า พ่อแม่ครูจารย์คือหลวงตามหาบัวคอยจับผิด

นี่หลวงตาท่านพูดให้เราฟังนะ บอกเมื่อก่อนใครๆ ก็หาว่าผมคอยไปจับผิดเขา คอยไปจับผิดเขา ท่านบอกว่า ไม่ใช่ เราคอยไปบอกเขาว่า เขาเดินไปแล้วเขาจะเหยียบหนาม เขาเดินไปแล้วเขาจะไปชนต้นเสา เขาเดินไปแล้วเขาจะไปสะดุดก้อนหิน ท่านก็บอกว่า นี่หนามนะ นี่ก้อนหินนะ นี่เสานะ อย่าเดินไปชนมันท่านบอกว่าท่านปรารถนาอย่างนี้ ท่านพูดอย่างนี้ แต่พระบอกว่า หลวงตาจับผิดหลวงตาจับผิด

คือมันอึดอัดไง คือกิเลสมันจะดิ้น กิเลสมันจะไปตามทางมันไง แล้วหลวงตาไปดึงไว้ หลวงตาไปดึงไว้ เขาอึดอัด เขาบอกว่า นี่ชอบจับผิด คอยจับผิดคนอื่นตลอดเลย

นี่ท่านพูดกับเรานะ หลวงตาท่านคุยกับเราตัวต่อตัวเยอะมาก เพราะเราขึ้นไปหาท่าน บางทีท่านไปหาเรา คุยกันทีหนึ่งเป็น - ชั่วโมง เรื่องอย่างนี้ เรื่องหลังไมค์นี่เยอะ

ทีนี้เราก็จะบอกว่า ในสังคมทุกสังคมก็มีคนดีคนเลวปนกัน ในสังคมทุกสังคมเนาะ ในบรรดาลูกศิษย์หลวงปู่มั่นก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดี เราจะบอกว่า ในบรรดาลูกศิษย์หลวงตาที่ไปตั้งชื่อญาณสัมปันโน ญาณสัมปันโนมันก็มีทั้งถูกและผิด มีทั้งดีและไม่ดีเหมือนกัน

ฉะนั้น เราก็ต้องคัดเลือกแยกแยะเอาเนาะ อย่าเพิ่งเชื่อ กาลามสูตร อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ ต้องพิสูจน์ต้องตรวจสอบกันก่อน ดูกันก่อน ถ้าเขาเชิดชู เขาทำคุณงามความดีเชิดชู เราก็ส่งเสริมเขา ถ้าเขามาตั้งเพื่อจะขายชื่อเสียงครูบาอาจารย์เราก็อย่าไปยุ่งกับเขา มันเป็นความเห็นของเขา มันเป็นการประกาศออกมาว่าเขามีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร เขาทำเพื่อประโยชน์อะไรไง

ถ้าเรามีสติอย่างนี้ เราก็จะเป็นลูกศิษย์ครูบาอาจารย์ของเรา โดยเป็นลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์เราโดยมีสติปัญญา แบบที่หลวงตามหาบัวท่านพูดกับหลวงปู่เจี๊ยะ “เจี๊ยะเอ้ยเราก็อยู่กับหลวงปู่มั่นมาด้วยกัน เราก็อยู่กับหลวงปู่มั่นมาด้วยกัน

นี่ก็เหมือนกัน เราจะรู้จะเห็นสิ่งใดเราก็มีสติปัญญาแบบนี้ แบบที่หลวงตาท่านเตือนน่ะ เราก็มีครูบาอาจารย์มาเหมือนกัน เราก็เคยเห็นหลวงตามาเหมือนกัน เราก็อยู่กับหลวงตามาเหมือนกัน หลวงตาทำอะไรถูกทำอะไรผิด เราก็รู้ก็เห็นมาเหมือนกัน เห็นไหม อะไรที่ท่านบอกให้ทำ ท่านบอกไม่ให้ทำ เราก็รู้กันทั้งนั้นน่ะ ฉะนั้น สิ่งนั้นน่ะ เอายึดสิ่งนั้นเป็นหลัก แล้วเราก็พิสูจน์ของเรา ฉะนั้น ย้อนกลับมาที่เรา รักษาใจเรา

ครูบาอาจารย์ของเราท่านนิพพานไปแล้ว ครูบาอาจารย์ของเราท่านล่วงไปแล้ว ท่านหมดภาระไปทั้งหมดแล้ว สิ่งที่อยู่ก็อยู่กับพวกเรานี่แหละ อยู่กับพวกที่มีกิเลสนี่ พวกที่มีกิเลสก็ดูแลกันเพื่อประพฤติปฏิบัติกัน เพื่อพยายามเอาตัวของเราให้พ้นจากกิเลสให้ได้ เอวัง